
‘บิตคอยน์’ปรับตัวขึ้น3.62%เคลื่อนไหวที่ 62,959 ดอลลาร์
Bitcoin ปรับตัวขึ้น3.62%เคลื่อนไหวที่ 62,959 ดอลลาร์สหรัฐ
การเคลื่อนไหว ในแดนบวกของราคา bitcoin ช่วงเช้าวันนี้ มีขึ้นหลังจาก สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นายราวี เมนอน ผู้ว่าการ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (เอ็มเอเอส) เปิดเผยถึงความตั้งใจของ สิงคโปร์ใ นการเข้าไปเป็นส่วนสำคัญ ของธุรกิจเกี่ยวกับ สกุลเงินคริปโต ขณะที่ศูนย์กลางทางการเงินทั่วโลก พยายามค้นหา แนวทางจัดการ ภาคธุรกิจส่วนนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจการเงินที่เติบโต เร็วที่สุด
นายเมนอน ระบุว่า ธนาคารกลางสิงคโปร์ มองว่า แนวทางที่ดีที่สุด ในการจัดการธุรกิจเกี่ยวกับ สกุลเงินคริปโต ไม่ใช่การจำกัด หรือสั่งห้าม แต่เป็นการกำกับดูแลอย่างแข็งขัน เพื่อให้บริษัทที่ทำตามกฎระเบียบ และ จำกัดความเสี่ยงนั้น สามารถประกอบกิจการ ต่อไปได้
กิจกรรมต่างๆในปัจจุบันที่เกี่ยวกับสกุลเงินคริปโต ถือเป็นการลงทุนในอนาคต และ แม้ว่าในขณะนี้ภาพอนาคต จะยังไม่เป็นรูปเป็นร่างที่ชัดเจน แต่การไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในด้านนี้ ก็อาจทำให้สิงคโปร์ พลาดโอกาส การเข้าร่วมตลาด คริปโตนี้ ตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้เรามีข้อได้เปรียบ รวมถึงช่วยให้เราทำความเข้าใจถึงประโยชน์ และ ความเสี่ยงของสกุลเงินคริปโตได้ดีขึ้น” นายเมนอน กล่าว
นาย เมนอน ยังให้ความเห็นว่าสิงคโปร์ยังมีการเดิมพันสูงในด้านนี้ เนื่องจากสิงคโปร์ เป็นที่รู้จักในฐานะ ศูนย์กลางการเงินของโลก อยู่แล้ว ดังนั้น สิงคโปร์จึงต้องยกระดับมาตรการป้องกัน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ รวมถึง การเคลื่อนย้ายเงิน อย่างผิดกฎหมาย
นายเมนอน ยังเปิดเผยว่า สิงคโปร์ให้ความสนใจ กับการพัฒนา เทคโนโลยีคริปโต เช่น บล็อกเชนและ Smart Contract ตลอดจนมีการดำเนินการด้านต่าง ๆ เพื่อ เตรียมพร้อมรับมือโลก ในยุคเว็บ 3.0
มาทำความรู้จักกับ bitcoin กันสักหน่อย
bitcoinจัดเป็นประเภทหนึ่งของ สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ซึ่งมีความหมายถึง สกุลเงินที่ผ่านการเข้ารหัส (Cryptography) และอยู่ในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งคุณสมบัติทั้ง 2 ข้างต้นนี้เอง ที่ทำให้เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีไม่สามารถปลอมแปลงได้
สามารถโอนย้ายได้ผ่าน ระบบอินเทอร์เน็ต โดยผ่านระบบของบล็อกเชน (Blockchain) ที่คอยทำหน้าที่บันทึกรายการโอนเงินดิจิทัลและยืนยันว่า รายการนั้น ๆ เกิดขึ้นจริงและถูกต้อง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้การโอนย้ายมูลค่า ในรูปแบบดิจิทัล บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสามารถเกิดขึ้นได้
bitcoin เป็นเหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเหรียญแรก ที่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ ในปี 2008 ได้มี White Paper ของบิตคอยน์ออกสู่สาธารณะ และมีการโอนเหรียญขึ้นจริงครั้งแรก บนบล็อกเชนบล็อกแรก ในปี 2009 และ บิตคอยน์ ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ ยังไม่เคยถูกแฮ็คหรือฉ้อโกงไปจากระบบได้เลย นับตั้งแต่วันแรกที่มันปรากฏขึ้นมาบนโลกใบนี้
bitcoinซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของโลกสกุลเงินดิจิทัลนั้น ทำให้มีเหรียญอื่นๆ เกิดตามมาจำนวนนับหมื่นเหรียญ และมีมูลค่าตามราคาตลาดรวมของสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด ณ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 กว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยใช้เวลาจากวันแรก มาเพียง 12 ปีกว่าเท่านั้น และมูลค่าตามราคาตลาดของเหรียญบิตคอยน์เอง ที่สูงถึง 6 แสนล้านเหรียญ และมีราคาต่อ 1 เหรียญกว่า 1 ล้านบาทในวันนี้ คงไม่เป็นที่สงสัยในความมีตัวตนของสินทรัพย์นี้อีกต่อไป
ประโยชน์และโอกาส
การเกิดขึ้นของสินทรัพย์ดิจิทัล นี้ทำให้ ต้นทุนในโลกของการใช้เงินแบบปัจจุบัน ที่อยู่ในรูปแบบของธนบัตร หรือ เหรียญ เป็นต้น ลดลงอย่างมหาศาล โดยที่จากเดิม ต้นทุนของระบบการชำระเงินในปัจจุบันที่มีใช้เงินในรูปแบบธนบัตร และเหรียญนั้น อยู่ที่เฉลี่ย 0.5-0.9% ของ GDP อีกทั้งยังทำให้ ต้นทุนการโอนเงินระหว่างประเทศ ได้ลดลงอย่างมาก เช่นเดียวกัน
เนื่องจากการโอนเงินบนโลกอินเทอร์เน็ต ก็เหมือนโลกที่ไร้พรมแดน ระยะทางไม่ใช่อุปสรรคและต้นทุน ในการโอนย้ายมูลค่า ระหว่างกันอีกต่อไป เราสามารถเห็นการโอนเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี บางเหรียญจากประเทศไทย ไปยังสหรัฐอเมริกา เกิดขึ้นและทำรายการสำเร็จ ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 1 นาที โดยมีค่าธรรมเนียม การโอนผ่าน บล็อกเชน ไม่ถึง 1 บาท เท่านั้น ผลที่เกิดขึ้นนี้เอง ได้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งาน และการเพิ่มขึ้นของปริมาณ การทำธุรกรรม ในโลกคริปโทเคอร์เรนซี
นอกไปกว่านี้ ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัลก็ยังเกิดขึ้นในรูปแบบ ของการลงทุน การเก็บมูลค่า การนำเทคโนโลยี บล็อกเชน มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบของการทำ smart contract การเขียนแอปพลิเคชัน และ การเก็งกำไรในความผันผวนของราคา ซึ่ง ความต้องการต่างๆ เหล่านี้เอง ได้ผลักดัน ให้มูลค่าตลาดของ สินทรัพย์ดิจิทัลยิ่งสูงขึ้น อย่างต่อเนื่อง ในช่วงที่ผ่านมา
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาบิตคอยน์
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง บิตคอยน์ นั้น เกิดขึ้นจาก คุณสมบัติข้อหนึ่งของ บิตคอยน์ คือ การมีอยู่อย่างจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญ ซึ่งการมีจำนวน อยู่อย่างจำกัดนี้เอง ทำให้ เกิดความเชื่อขึ้นว่า บิตคอยน์ นั้น สามารถมีคุณสมบัติ การเก็บมูลค่า (store of value) เหมือนสินทรัพย์ อย่างทองคำ และ จะไม่เกิดการเฟ้อ เนื่องจาก การเพิ่มขึ้นของปริมาณเหรียญ ดังนั้นเมื่อเกิดความต้องการซื้อ ต้องการ ถือครองบิตคอยน์มากขึ้น ก็ส่งผลให้ราคาของ เหรียญบิตคอยน์ มีมูลค่าสูงขึ้น หรือ หากเกิดผล ในทางตรงข้าม ก็จะส่งผล ให้ราคาลดลง เช่นกัน
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผล ต่อความต้องการใช้ สกุลเงินดิจิทัล
DCG ได้ทำการสำรวจ ปัจจัยเชิงมหภาค ที่ส่งผลกระทบ ต่อการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้ ดังนี้
-ความต้องการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใหม่ (13%)
-ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (13%)
-การไล่ล่าหาผลตอบแทน (17%)
-ความกังวลด้านเงินเฟ้อจากผลของนโยบายของธนาคารกลางโลก (19%)
-เศรษฐกิจโลกถดถอย (24%)
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ในตลาดสกุลเงินดิจิทัล
จากผลสำรวจ ของ DCG พบว่า ปัจจัยความเสี่ยงที่สำคัญ ต่อตลาดสกุลเงินดิจิทัล มีดังนี้
-ปัญหาความขัดข้องทางเทคนิค (8%)
-วิกฤตการลงทุน (12%)
-การขโมย แฮ็ก และการหลอกลวง (22%)
-กฏระเบียบ และ ข้อบังคับ (51%)