
“ไม้ด่าง” ทำเงิน-อัพเกรดเทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์ม ทางรอดเกษตรกรยุคโควิด
ในช่วงสถานการณ์ การแพร่ระบาด ของโควิด-19 ในระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา หลายๆธุรกิจ ได้ปรับเปลี่ยน พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ที่ฮิตอย่างมากคงหนีไม่พ้น การเพาะขาย ไม้ด่าง หรือ พันธุ์ไม้หายาก และ หลายคนหันไปทำอาชีพเกษตร ทำสวน จนเกิดเป็นรายได้ที่มั่นคง
พลิกวิกฤต เป็น โอกาส เพาะขายไม้ด่าง
นาย พงษ์พันธ์ เปี่ยมมนัส เกษตรกรผู้ปลูก ไม้ด่าง เจ้าของ “บ้านสวนไม้ด่างกลางนา” อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี กล่าวว่า เดิมที่ทำงานของตน เกี่ยวกับการนำเข้าสินค้าเกาหลี เเต่ เนื่องจากเกิดการระบาดโควิด จึงใช้เวลาอยู่กับการศึกษา ไม้ด่าง เริ่มจากความสนใจ และ เป็นคนรักต้นไม้ จึงศึกษาผ่าน ยูทูบ โซเชียลมีเดีย ทุกช่องทาง
จากนั้นจึง ได้เริ่มสั่งซื้อไม้ นำเข้ามาเอง และ ซื้อผ่านตลาดออนไลน์ เมื่อเห็นโอกาสบวกกับ ใจรัก และ เป็นจังหวะที่ราคาเริ่มขึ้น จึงปลูกขยายพันธุ์เอง แล้วเริ่มขายผ่านออนไลน์
ปัจจุบัน ตลาดนี้ส่วนตัวคิดว่า ไม้ในประเทศไทยมีความต้องการสูง คนสนใจเยอะ จึงขาดตลาด แต่สำหรับธุรกิจนี้ ต้องมีใจรัก คนที่เป็นมือใหม่ต้องศึกษาให้ถี่ถ้วน ว่า ไม้ด่าง ที่เห็นเป็นไม้ด่างจริง ๆ หรือเกิดจากโรค เพื่อที่ว่าจะได้ดูไม้เป็น และ หาซื้อไม้ที่มีคุณภาพ หรือ เพื่อนำมาขยายพันธุ์ทำตลาด ทำรายได้
“การทำไม้ด่าง บางครั้งก็เหมือน การเล่นหุ้น ไม้ด่างราคามีขึ้นลงตลอดเวลา หรือ บางช่วงราคาปรับข้ามคืนเลย เราต้องลุ้นตลอดเวลา จากประสบการณ์ครั้งแรก เราเน้นทำต้นที่ราคาไม่แรง จากนั้นก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเอง มันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่า เราต้องหมั่นศึกษาตลอดเวลา ก็จะยิ่งทำให้เราประสบความสำเร็จ”
สำหรับการขายไม้ด่างนั้น จะเน้นราคาอยู่ที่จำนวนของใบเป็นหลัก เช่น ไม้ใบด่างมีราคาอยู่ที่ 10 ใบ ใบละ 10,000 บาท และ ไม้ด่างต้นสามารถสร้างรายได้ถึง 100,000 บาท และมากขึ้น ๆ ทั้งนี้ ราคาไม้ด่าง ที่จำหน่ายมีหลากหลายราคา เริ่มจากไม้ด่างเงินไหลมา ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ราคา 500 บาท กลุ่มไม้พันธุ์นี้ยิ่งนานมาก ก็ยิ่งมีราคา
จากธุรกิจอัญมญีสู่วงการกล้วยด่าง
นาย นิรินาทย์ เธียรวรโชค เจ้าของสวน The Lord of the Garden ได้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ทำธุรกิจ ค้าอัญมณี แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้ลูกค้า ทั้งในและต่างประเทศ ไม่สามารถเข้ามาทำการซื้อขายกับทางร้านได้ จึงได้ใช้เวลาว่าง จนเจอกล้วยด่างในยูทูบ จากนั้นจึงสนใจ กลายเป็นความชอบ ความหลงใหล จึงได้เริ่มศึกษาและเข้าสู่วงการกล้วยด่าง จนถึงปัจจุบัน
กล้วยด่างแดงอินโด มีเสน่ห์ ในตัวน่าหลงใหล เหมือนได้กลับไปเจียระไนอัญมณีอีกครั้ง เพราะกล้วยด่าง แต่ละต้นจะมีลวดลาย และ สีสันที่แตกต่างกันออกไป เหมือนกับอัญมณี ที่แต่ละเม็ดจะมี ลักษณะ รูปทรง และ สี ที่แตกต่างกันและ มีความพิเศษส่วนตัว
เปิดโฮมสเตย์ชูจุดขาย เกษตรธรรมชาติสร้างรายได้เสริม
นาย อิศรากรณ์ พลธรรม ได้กล่าวว่า การทำเกษตรในปัจจุบัน ถือคติที่ว่า ถ้าอยากทำเกษตรให้ก้าวหน้า และ ยั่งยืน จะต้องทิ้งตำราแบบเดิม ๆ เราจะไม่ปลูกก่อนแล้วหาตลาด ต้องศึกษาหาตลาด ก่อนปลูก และเลือกปลูกพืช ให้เหมาะสมกับพื้นที่ ตอนนั้นก็จึงเริ่มต้น จากการเปลี่ยนไร่เลื่อนลอยของพ่อแม่ มาปลูกมันเทศญี่ปุ่นสีส้ม ส่งสหกรณ์แก้วเกษตร ปลูกสลับหมุนเวียน แบ่งพื้นที่ปลูกเดือนละ 1 ไร่ แล้วบริหารจัดการพื้นที่ เพื่อให้มีผลผลิตส่งสหกรณ์ให้ได้เดือนละ 2 ครั้ง
ต้นทุนการปลูก คิดเป็นครึ่งต่อครึ่งของรายได้ 1 เดือน ขายมันเทศได้เงิน 60,000 บาท แล้ว เริ่มมองหาช่องทาง การสร้างรายได้เพิ่ม ด้วยการดูออร์เดอร์ ที่ทางสหกรณ์ต้องการ แต่ผลผลิตยังขาด จะมีกะหล่ำปลี ข้าวโพดหวาน และ มองต่อว่าพืชตัวไหน เหมาะสมกับพื้นที่ ก็คือ กะหล่ำปลี จึงเกิดเป็นการปลูกผสมผสาน ไม่พึ่งพาพืชเชิงเดี่ยว
“เมื่อก่อนที่บ้านผมทำไร่เลื่อนลอย ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำนา มีรายได้ไม่แน่นอน จึงปรับเปลี่ยน หันมาทำเกษตรแบบผสมผสาน วางแผนการปลูกพืชให้ตรงต่อความต้องการ ของตลาด ผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน เพื่อการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมาถือว่า ได้รับผลกระทบน้อยมาก
ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่ที่การปรับตัว ทำเป็นแหล่งท่องเที่ยว เปิดโฮมสเตย์ให้กับ คนรักธรรมชาติ หรือ คนที่ชอบนอนกางเต็นท์ดูดาวมาสักพักแล้ว โดยที่สวนตอนนี้ สามารถรับนักท่องเที่ยว ได้สูงสุดวันละ 20 คน”
GAP เกษตรปลอดภัยมาตรฐานสากล
ทางด้านอาจารย์บ้วน-ผศ.อดิศักดิ์ บ้วนกียาพันธุ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการของทาง บริษัท ไทยเซ็นทรัลเคมี จำกัด (มหาชน) (ปุ๋ยตราหัววัว-คันไถ) บรรยายพิเศษ “เทคนิค ปรับปรุงดินอย่างง่ายปลูกอะไรก็งาม และดูแลผลผลิตอย่างไร ให้ได้มาตรฐาน GAP” ว่า เป้าหมายสำคัญของการทำเกษตร คือเรื่อง เกษตรปลอดภัย หรือ Good Agricultural Practices (GAP) ซึ่งเป็นระบบมาตรฐานสากล
ทั้งนี้ประเทศไทย ยังเป็นแหล่งผลิตอาหาร ที่ปลอดภัย หน่วยงานภาครัฐเอกชน สนับสนุน ให้เกษตรกรสามารถ ดูแลตรวจสอบกลับ ได้ตั้งแต่การปลูกดูแล ให้ปุ๋ย ให้น้ำ การเก็บเกี่ยว การขนส่งสินค้าถึงตลาดปลายทาง
ถึงอย่างไรก็ตาม เกษตรกรต้องปรับปรุงดิน ตามต้องการ ของพืชแต่ละชนิด ด้วย 4 องค์ประกอบพื้นฐาน ได้แก่
1.ปรับโครงสร้างดินเพื่อให้รากพืชหากินได้สะดวก มีน้ำ อากาศอยู่ในดิน
2.ดินต้องมีธาตุอาหารครบ 16 ชนิดที่พืชต้องการ
3.ดินมีความเป็นกลาง
4.ดินต้องปลอดเชื้อโรค
เกษตรกรบางคน ปลูกพืช ใส่ปุ๋ย บำรุงดิน ไปอย่างเดียว เวลานานๆไปจุลินทรีย์ย่อย อินทรีย์วัตถุหมด ดินแน่นขึ้น คนด่าปุ๋ยเคมีไม่ดี ทำให้ดินเสีย ความจริงแล้ว ปุ๋ยเคมีใส่ไป เป็นอาหารของจุลินทรีย์ จุลินทรีย์ก็ย่อยสลายอินทรียวัตถุ ต้องไปด่าคนทำไม่ใช่มาบอกว่า ปัจจัยการผลิต ไม่ดี”